วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ตะลุยเดี่ยวเที่ยว ไหว้พระ วัดหลวงพ่อชาญหรือวัดบางบ่อ

วัดดบางบ่อเป็นวัดที่เก่าแก่ สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๔ ตอนปลายสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี นับอายุถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๒๓๕ ปี ไม่ปรากฏนามของผู้สร้าง ตั้งอยู่เลขที่ ๓ บ้านบางบ่อ คลองสำโรง หมู่ ๓ ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัด เนื้อที่ทั้งหมด ๔๓ ไร่ ๙๘ ตารางวา พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มอยู่ริมคลองสำโรง ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ 



ลำดับของเจ้าอาวาสปกครองวัดบางบ่อ 

- รูปที่ ๑ พระอธิการโต (ขณะที่เป็นเจ้าอาวาส ตาบอดทั้งสองข้าง เคยถูกโจรปล้นวัด เพราะเข้าใจว่าชาวบ้านไปทำงานต่างถิ่น จึงนำสมบัติไปฝากเจ้าอาวาสไว้ ความจริงชาวบ้านไม่ได้นำมาฝาก และโจรก็ไม่ได้ทำอันตรายท่าน
- รูปที่ ๒ พระอธิการแดง 
- รูปที่ ๓ พระอธิการพร้อม (เป็นเจ้าคณะตำบลบางบ่อ) 
- รูปที่ ๔ พระครูพินิจสมณคุณ (หลวงปู่ไผ่) 
- รูปที่ ๕ พระปลัดทรง สงฺฆวโร 
- รูปที่ ๖ พระครูสังฆรักษ์ (หม่อง) 
- รูปปัจจุบันพระครูวิจารณ์ธรรมคุณ (หลวงปู่ชาญ) 

 




พระครูวิจารณ์ธรรมคุณ หรือหลวงปู่ชาญ อิณมุตฺโต ชาวบ้านมักเรียกขานท่านว่า “หลวงปู่ใหม่” ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ และยังเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอบางบ่อ ท่านเป็นพระเถราจารย์ ที่มีอายุยืนยาวถึง ๑๐๔ ปี ๘๔ พรรษา หลวงปู่เป็นพระเกจิอาจารย์ ซึ่งมีชื่อเสียง “ที่สุด” ของจังหวัดสมุทรปราการ 
.
นามเดิมของหลวงปู่ชาญ ชื่อชาญ รอดทอง ท่านเกิดวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ณ ตำบลเกาะไร่ อำเภอบางโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา การศึกษา เรียนจบชั้น ป.๕ จากโรงเรียนอภัยพิทยาคาร (วัดแก้วพิจิตร) จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากจบชั้น ป.๕ แล้ว ท่านได้ออกมาช่วยบิดามารดาทำนา จนกระทั่งอายุ ๒๕ ปี จึงได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดคลองสวน ตำบลเกาะไร่ อำเภอบ้านโพธิ์ จากนั้นได้ไปจำพรรษา ณ วัดนิยมยาตรา อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 

เหรียญรุ่นแรก ออกในนามวัดบางบ่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เรียกกันว่า “เหรียญล้อแม็ก” สร้างออกมาด้วยกัน ๒ เนื้อ คือ เนื้ออัลปาก้าและเนื้อทองแดง เป็นที่กล่าวขานกันว่าเหรียญรุ่นนี้เหนียวสุดๆ และมหาอุดจริงๆ และยังมีเหรียญยอดนิยมอีกรุ่น คือ เหรียญปี ๒๕๑๘ (รุ่น ๒) สร้างออกมา ๓ พิมพ์ คือ ๑.เหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ (นิยม) ๒.เหรียญรูปไข่เต็มองค์ ๓.เหรียญหันข้างหรือเหรียญอาร์มครึ่งองค์ ส่วนเหรียญรุ่น ๓ เรียกขานกันว่า “เหรียญสองผู้ยิ่งใหญ่” รุ่นกรรมการ สร้างปี ๒๕๑๙ ด้านหน้าหลวงปู่ชาญ ด้านหลังหลวงพ่อหม่อง (พระอาจารย์ของหลวงปู่)

.


สุดท้ายนี่ก็ยังคง อยู่ที่ จังหวัดสมุทราปราการ  ต้องมาเห็นด้วยตาตนเอง ประวัติความเป็นมาที่น่าขนลุก และมีอยู่จริง  
ขอบคุณทุกท่านที่เขามาดูกันนะค่ะ  
และเราจะภาไปดูวัดอะไรนั้นต้องรอติดตามได้เลยจ้า


วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ตะลุยเดี่ยวเที่ยวไหว้พระกันที่ วัด (หลวงพ่อโต)บางพลี

สวัสดีค่าา.  เราก็ได้มากันถึงวัดที่10. แล้วนะค่ะ. เร้วใช่ไหมละ5555
              กับวัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง (หลวงพ่อโต) ของชาวบางพลี

 


    วัดบางพลีใหญ่ใน หรือที่คนมักจะเรียกว่า วัดหลวงพ่อโต เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ชาวบางพลีและชาวสมุทรปราการให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก แวะกราบสักการะหลวงพ่อโตเพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วเดินเที่ยวชมตลาดโบราณบางพลี ได้เห็นวิถีชุมชนเก่า ซื้ออาหารการกิน ของฝาก เดินเล่นพักผ่อนให้อาหารปลาที่ท่าน้ำ
วัดบางพลีใหญ่ใน ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี การเดินทางมาวัดสามารถมาได้จากถนนเทพารักษ์ และถนนบางนา-ตราด ที่ตั้งของวัดจะอยู่ใกล้กับบิ๊กซีบางพลี
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กล่าวไว้ว่า วัดบางพลีใหญ่ใน เป็นวัดที่เก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งที่พระองค์ทรงนำกองทัพขับไล่ศัตรูที่ถอยทัพไปทางทิศตะวันออกของกรุงศรีอยุยธา เมื่อติดตามจนมาถึงตำบลหนึ่ง จึงรับสั่งให้เหล่าทหารหยุดพัก เพื่อทำพิธีพลีกรรม บวงสรวงเซ่นไหว้ตามตำรับพิชัยสงคราม โดยปลูกศาลเพียงตาไว้พร้อมเครื่องสังเวย อัญเชิญพระแสงดาบ ศาสตราวุธต่างๆ มาประกอบพิธี ตั้งจิตอธิษฐานต่อเทวาอารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้การรบได้รับชัยชนะกลับมา จากนั้นพระองค์และเหล่าทหารกล้า ก็เดินทัพต่อไปจนสามารถนำชัยชนะกลับมาได้ หลังจากนั้นเมื่อย้อนทางกลับมา ณ ที่ศาลเพียงตา พระองค์ทรงรับสั่งให้สร้างเป็นพลับพลาไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในชัยชนะ และทรงพระราชทานนามที่แห่งนี้ว่า "พลับพลาชัยชนะสงคราม"
ต่อมาในปี พ.ศ.2320 ช่วงก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นในบริเวณพลับพลา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และตั้งชื่อวัดว่า "วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม" ส่วนตำบลที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงหยุดประทับ เพื่อทำพิธีพลีกรรม ได้มีชื่อว่า บางพลี ชาวบ้านจึงมักจะเรียกวัดในอีกชื่อหนึ่งว่า วัดบางพลี ต่อมาเมื่อมีวัดบางพลีใหญ่กลางตั้งอยู่ด้านนอก (ห่างจากคลองออกไป) จึงเรียกวัดบางพลี ที่ติดกับคลองสำโรงว่า "วัดบางพลีใหญ่ใน
องค์ที่ 1 หลวงพ่อบ้านแหลม พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร อัญเชิญขึ้นเป็นองค์แรก ที่แม่น้ำแม่กลอง นำไปประดิษฐาน ณ วัดบ้านแหลม (วัดเพชรสมุทรวรวิหาร) จังหวัดสมุทรสงคราม
องค์ที่ 2 หลวงพ่อโสธร พระพุทธรูปปางสมาธิ อัญเชิญขึ้นมาเป็นองค์ที่สอง ที่แม่น้ำบางปะกง นำไปประดิษฐาน ณ วัดโสธรวรารามวรว­ิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา
องค์ที่ 3 หลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางมารวิชัย อัญเชิญขึ้นเป็นองค์สุดท้อง ที่คลองสำโรง นำประดิษฐาน ณ วัดบางพลีใหญ่ใน (วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม) จังหวัดสมุทรปราการ
** ตำนานพระพุทธรูป 3 พี่น้อง บางตำนานจะเรียกว่าเป็นหลวงพ่อ 5 พี่น้อง โดยรวมหลวงพ่อวัดไร่ขิง ที่อัญเชิญขึ้นจากแม่น้ำนครชัยศรี ประดิษฐานไว้ ณ วัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม และหลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา อัญเชิญขึ้นจากแม่น้ำเพชรบุรี นำประดิษฐานไว้ ณ วัดเขาตะเครา
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปองค์สุดท้องที่ได้รับการอัญเชิญขึ้นจากน้ำ หลังจากพระพุทธรูป 2 องค์ คือหลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อโสธรได้ถูกอัญเชิญขึ้นจากน้ำแล้ว หลวงพ่อโตกลับจมลง แล้วไหลลอยเกือบจะออกจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปสู่ทะเลอ่าวไทย แต่แล้วก็วกเข้าคลองสำโรง ชาวบ้านมาพบจึงพากันอาราธนาขึ้นฝั่งตั้งแต่ปากคลองสำโรง แต่ก็ไม่สามารถอัญเชิญขึ้นมาได้ จนชาวบ้านคนหนึ่งเกิดความคิดขึ้นมาว่า ควรทำการเสี่ยงทาย ให้หลวงพ่อท่่านได้เลือกสถานที่ที่ต้องการ จึงต่อแพผูกชะลอองค์พระ แล้วใช้เรือพายฉุดให้ลอยตามลำน้ำสำโรงเรื่อยไป โดยตั้งจิตอธิษฐานต่อองค์พระว่า หากท่านต้องการจะให้อัญเชิญขึ้น ณ ที่แห่งใด ก็ขอให้หยุดตรงจุดนั้น ชาวบ้านต่างเห็นด้วยกับการเสี่ยงทายนึ้ และพากันพายเรือตามแพองค์พระไปตามคลองสำโรง พร้อมกับมีการรำถวาย การละเล่นต่างๆ ครื้นเครงกันตลอดลำน้ำ

ครั้นเมื่อเรือพายผูกแพองค์พระล่องมาถึงวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม ในอำเภอบางพลี แพหลวงพ่อโตก็หยุดนิ่ง แม้จะพยายามฉุดลากเท่าไหร่ก็ไม่ไป ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันตั้งจิตอธิษฐานว่า หากองค์หลวงพ่อโตจะคุ้มครองชาวบางพลี ก็ขอให้อาราธนาพระพุทธรูปขึ้นมาได้โดยง่าย จากนั้นจึงเกิดอัศจรรย์ อัญเชิญองค์พระขึ้นมาได้ จึงนำไปประดิษฐานไว้ในพระวิหาร และต่อมาได้อาราธนาไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ

หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปเนื้อสำริดลงรักปิดทอง เป็นพระศิลปะสมัยสุโขทัย พุทธลักษณะปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ เบิกพระเนตร มีขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ (ประมาณ 1.75 เมตร)
แผนผังของวัดบางพลีใหญ่ใน หันหน้าไปทางคลองสำโรง ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมหลักในอดีต ปัจจุบันได้มีถนนตัดผ่านหลายเส้นทาง รวมทั้งถนนที่ตัดผ่ากลางพื้นที่วัด (ซอยชุมชนหลวงพ่อโต) แบ่งออกเป็นโซนประกอบพิธีฌาปนกิจ ที่ไปอยู่ทางด้านหลังของวัด สำหรับผู้ที่มายังวัดบางพลีใหญ่ใน จะมีป้ายบอกทางไปยังอุโบสถไว้ในหลายๆ จุด สามารถเดินทางมาได้สะดวก มีจุดจอดรถหลายส่วน เช่น บริเวณใกล้พระเจดีย์ บริเวณฌาปนสถานด้านหลังวัด และโซนจอดรถกลางแจ้ง กว้างขวาง ที่เพิ่มเติมขึ้นมากรณีมีงานในช่วงเทศกาล งานประเพณีรับบัว


วิหาร
วิหารตั้งอยู่บริเวณด้านข้างอุโบสถ เป็นวิหารเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในลักษณะอาคารแบบเดิมๆ ผนังตรงกลางด้านหน้าวิหาร เจาะเป็นซุ้มจระนำ** รูปทรงเรียบๆ ในซุ้มประดิษฐานพระสังกัจจายน์องค์ใหญ่ ภายในวิหารมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก  ผนังปูนทาสีเรียบ ไม่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง หน้าต่างทาสีแดงพื้น ไม่ได้ลงลวดลาย ส่วนของโครงหลังคาเป็นเครื่องไม้ เสาภายในยังคงสภาพเสาไม้แปดเหลี่ยม สูงจากพื้นขึ้นไปจรดโครงหลังคา เสาแต่ละต้นมีผ้าหลากสีพันไว้ ตามความเชื่อที่ว่าเป็นการเคารพต่อเทวดา เทพารักษ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ วิหารแห่งนี้เป็นที่เก็บพระพุทธรูปหลายแบบ หลายขนาด ทั้งพระพุทธรูปเก่าและใหม่ จึงเห็นพระพุทธรูปมากมายจัดเรียงไว้รอบโถงภายในวิหาร จุดนี้ เป็นบริเวณที่คนมักจะเข้ามาตั้งจิตอธิษฐาน และยกช้างเสี่ยงทายในสิ่งที่ปรารถนา


หมอชีวกโกมารภัจจ์
รูปปั้นหมอชีวกโกมารภัจจ์ (อ่านว่า ชี-วะ-กะ-โก-มา-ระ-พัด) บรมครูแห่งการแพทย์แผนไทย ผู้บำเพ็ญความดี ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นหมอหลวง และแพทย์ประจำตัวของพระพุทธเจ้า เป็นดั่งที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา ผู้ที่ต้องการขอพรเรื่องสุขภาพร่างกาย ต้องการหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จึงมักจะมากราบสักการะต่อท่าน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใต้ต้นโพธิ์
ภายในบริเวณวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น พระพุทธบาทจำลอง พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ พระพรหม พระราหู พระสีวลี เจ้าแม่ตะเคียน ตลาดน้ำโบราณบางพลี เป็นต้น

การเดินทาง
ห่างจากวัดบางพลีใหญ่กลาง (วัดพระนอน)   1 กิโลเมตร
ห่างจากสถานตากอากาศบางปู   17 กิโลเมตร
ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ   18 กิโลเมตร

และสุดท้ายก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามด้วยนะค่ะ 
กับวัดที่น่าสนใจ ที่สุด และยังมีอีกหลายวัดที่ ซินยังไม่เคยไป  อย่าลืมติดตามกันนะค่ะ
สำหรับวันนี้ต้องขอบคุณค่า 

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ตะลุยเดียว เที่ยวไหว้ พระกันที่วัดที่หลวงพ่อโตองค์ใหญ่


วัดพนัญเชิง เป็นวัดเก่าแก่และสำคัญวัดหนึ่งของอยุธยา มีชื่อเสียงระบือไปทั่วประเทศโดยเฉพาะหลวงพ่อโตหรือเจ้าพ่อซำปอกงที่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนต่างให้ความเคารพนับถือมาช้านาน เมื่อมายังวัดแห่งนี้จะไม่แปลกที่จะต้องพบเจอผู้คนจำนวนมากที่ไหลเวียนมานมัสการหลวงพ่อโตกันอย่างเนืองแน่น
 เชิญเข้าไปรับชนไหว้พระกันได้เลยจ้า



วัดพนัญเชิงเป็นวัดเก่า สร้างสมัยเมืองอโยธยาเป็นราชธานี ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช (พระเจ้าสายน้ำผึ้ง) ครองเมืองเสนาราชนครตั้งอยู่ปากน้ำแม่เบี้ยเป็นผู้สร้างวัดนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระนางสร้อยดอกหมาก พระเจ้าศรีธรรมโศกราช (สมเด็จพระเอกาทศรฐ) เป็นผู้สร้างพระเจ้าพะแนงเชิง คือ องค์พระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) สร้างก่อนกรุงศรีอยุธยา 26 ปี สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระเจ้าสายน้ำผึ้งผู้เป็นพระอัยยกา นามเดิมหลวงพ่อโตเรียกว่า พระเจ้าพะแนงเชิง ในรัชกาลที่ 4 คือ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามใหม่ว่า พระพุทธไตรรัตนนายก จึงได้นามมาตลอดปัจจุบันนี้ พระมหากษัตริย์ได้อุปถัมภ์ตลอดมาโดยสำคัญ วัดนี้เป็นพระอารามหลวงมาแต่สมัยโบราณ และปัจจุบันนี้ก็เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิกวรวิหาร วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ คือองค์พระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) และพระพุทธรูปทองสมัยสุโขทัยประดิษฐานในพระอุโบสถ 2 องค์ จึงเป็นที่เคารพสักการะทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ วัดพนัญเชิงเป็นวัดเก่ามานาน เสนาสนะสงฆ์และปูชนียสถานได้ชำรุดทรุดโทรมไปเป็นอันมาก ทางคณะสงฆ์และทางราชการได้ช่วยกับบูรณะปฏิสังขรณ์มาโดยลำดับตลอด ปัจจุบันนี้ก็ได้ดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่เสมอ
ภายในโบสถ์



จุดเด่นของวัด
-พระพุทธไตรรัตนนายก ( หลวงพ่อโต ) ในพระวิหาร
-รูปปั้นพระนางสร้อยดอกหมาก 
-เทศกาลเทกระจาด หรืองานงิ้วเดือน 9 จะมีงิ้วและมหรสพอื่นๆ เล่นประชันกันอย่างครึกโครม
จะมีผู้คนนับหมื่นหลั่งไหลกันมานมัสการนับเป็นงานทิ้งกระจาดที่ใหญ่ที่สุดใน
ประเทศไทยทีเดียว
-แพให้อาหารปลาริมน้ำแม่น้ำป่าสัก
แพให้อาหารปลาริมน้ำแม่น้ำป่าสัก






ร้านค้าและร้านจำหน่ายของที่ระลึก
     
บริเวณลาดจอดรถ

สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกับวัด อะไร ตามกันไปได้เลยจ้า

ขอบคุณค่า


วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2562

ตะลุยเดียวเที่ยวไหว้พระ กันที่อยุธยา

สวัสดีค่า ทุกคนที่ เข้ามาดู วันนี้พามาไหว้พระกันไม่ไกล ไกล้กรุงเทพเดินทางเพียง 1 ชม  กว่าเอง กับวันเชิงประวัติศาสตร์ ที่ได้รับการปฏิสังขรณ์สมัยสมเด็จพระนเรศวร อีกด้วย  ตามมาชนกันได้เลยจ้า





  ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองสวนพลู  อำเภอพระนครศรีอยุธยา  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดิมชื่อว่าวัดป่าแก้ว ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีฐานะเป็นพระอารามหลวง ตามพงศาวดารกล่าวว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์และพระวิหารขึ้นแล้วสถาปนาเป็นพระอาราม ในปี พ.ศ. 1900 พระราชทานนามว่า วัดป่าแก้ว วัดนี้เป็นที่สถิตของสมเด็จพระวันรัตจึงได้นามว่า วัดเจ้าพระยาไทอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าเป็นวัดของอธิบดีสงฆ์หรือพระสังฆราช
               ต่อมาในปี พงศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่ขึ้น ตามคำทูลแนะนำของสมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้ว เพื่อเฉลิมพระเกียรติแห่งชัยชนะในการกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า พระเจดีย์องค์นี้มีชื่อว่า พระเจดีย์ชัยมงคล ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่าพระเจดีย์ใหญ่ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปนานเข้าจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดใหญ่ชัยมงคล

 ภายในวัดประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณเป็นประธานของวัดมีระเบียงคดล้อมรอบ ทางด้านทิศตะวันออกเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถ ส่วนพระวิหารตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเจดีย์ประธานในแนวเดียวกัน มีลักษณะแผนผังของวัดเช่นเดียวกับพระอารามหลวงสมัยอยุธยาตอนต้น เช่น วัดมหาธาตุ วัดพระราม และวัดราชบูรณะ เป็นต้น

 ตามมาดูภาพในวัดกันเลยจ้า 
ทางขึ้นไปข้างบนค่อนข้างชันมากต้องเดินด้วยความระมัดระวังค่ะ
จุดเด่นของวัดคือ เจดีย์องค์ใหญ่ที่สูงประมาณ 60 ม. ได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีการค้นพบชัยมงคลคาถาบรรจุอยู่ภายในพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชัยมงคล พระประธานที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด นอกจากนี้ ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2544 อีกด้วย


ข้างบนจะมีพระพุทธรูปประดิษฐาน
สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วจะพาไปวัดไหนติดตามกันได้เลยจ้า  
วัดเชิงประวัติศาสตร์ของไทยเรา ที่อยุธยา แห่งนี้ 
ขอบคุณค่าาาาาาาา




วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2562

ตะลุยเดี่ยวเที่ยว ไหว้พระ วัดหลวงพ่อปานหรือวัดบางเหี้ย




       วัดมงคลโคธาวาส หรือ วัดหลวงพ่อปาน ณ.คลองด่าน
วันนี้รเป็นวันหยุด  ไม่ไปทำงาน เลยเข้าทางตะเวนหาวัดใกล้ๆ ที่พักก้อมาเจอที่นี่ "วัดบางเหี้ยนอก"  เห็นชื่อนี้ครั้งแรกแล้วสะอึกเลย  ชื่อแบบนี้เด่นเลยดิ  อาบน้ำแต่งตัวไปวัดนี้กันสักหน่อยดีกว่า

รายละเอียดของวัดนี้

วัดมงคลโคธาวาส หรือ วัดหลวงพ่อปาน ตั้งอยู่ที่ถนนสุขุมวิท ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ อยู่ใกล้กับตลาดคลองด่าน เป็นวัดที่หลวงพ่อปาน เกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยจำพรรษาอยู่และพัฒนาวัด จนกลายเป็นวัดสำคัญของอำเภอบางบ่อในปัจจุบัน วัดมงคลโคธาวาส

วิหารหลวงพ่อปาน 

สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2300 เดิมมีชื่อว่า “วัดบางเหี้ยนอก” เนื่องจากตั้งอยู่ที่ตำบลบางเหี้ย  ต่อมาทางราชการได้เปลี่ยนชื่อตำบลบาง เหี้ยเป็นตำบลคลองด่าน ชื่อวัดจึงต้องเปลี่ยนให้มีความไพเราะและเหมาะสมขึ้นเป็น "วัดมงคลโคธาวาส" มาจนเท่าทุกวันนี้ สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้ก็คือ รูปหล่อของหลวงพ่อปาน ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กุฏิของท่าน รูปหล่อนี้ทำขึ้นก่อนที่ท่านจะมรณภาพ โดยประชาชนที่มีความเคารพบูชาในตัวท่านได้พร้อมใจกันทำขึ้นเพื่อไว้เป็นที่บูชากราบไหว้แทนตัวท่าน และในวันขึ้น 5 – 7 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี จะมีการอัญเชิญรูปหล่อของหลวงพ่อปานไปจัดงานนมัสการและปิดทองหลวงพ่อปาน ณ ที่ว่าการอำเภอบางบ่อ ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการเดินทางมาร่วมงานของประชาชนจากทุกๆ ตำบลนั่นเอง นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าของวัดซึ่งหันหน้าสู่คลองด่าน ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อนหย่อนใจ อีกด้วย การเดินทาง: จากสามแยกสมุทรปราการ ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุขุมวิทสายเก่า (ทางไปบางปู) ประมาณ 30 กิโลเมตร เมื่อข้ามสะพานคลองด่าน ให้เลี้ยวซ้ายบริเวณเชิงสะพานและไปตามถนนทางเข้าวัดมงคลโคธาวาส ผ่านตลาดคลองด่านตรงไปประมาณ 500 เมตร 




ภายนอกวัด
ลอดโบสถ์

ภายในโบสถ์





และที่นี่เป็นอีกหนี่งที่น่าสนใจ เพราะ มีตลาดพระ 

สุดท้ายนี่ก็ยังคง อยู่ที่ จังหวัดสมุทราปราการ  ต้องมาเห็นด้วยตาตนเอง ประวัติความเป็นมาที่น่าขนลุก และมีอยู่จริง  
ขอบคุณทุกท่านที่เขามาดูกันนะค่ะ  
และเราจะภาไปดูวัดอะไรนั้นต้องรอติดตามได้เลยจ้า