วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ตะลุยเดี่ยวเที่ยว ไหว้พระ วัดหลวงพ่อชาญหรือวัดบางบ่อ

วัดดบางบ่อเป็นวัดที่เก่าแก่ สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๔ ตอนปลายสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี นับอายุถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๒๓๕ ปี ไม่ปรากฏนามของผู้สร้าง ตั้งอยู่เลขที่ ๓ บ้านบางบ่อ คลองสำโรง หมู่ ๓ ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัด เนื้อที่ทั้งหมด ๔๓ ไร่ ๙๘ ตารางวา พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มอยู่ริมคลองสำโรง ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ 



ลำดับของเจ้าอาวาสปกครองวัดบางบ่อ 

- รูปที่ ๑ พระอธิการโต (ขณะที่เป็นเจ้าอาวาส ตาบอดทั้งสองข้าง เคยถูกโจรปล้นวัด เพราะเข้าใจว่าชาวบ้านไปทำงานต่างถิ่น จึงนำสมบัติไปฝากเจ้าอาวาสไว้ ความจริงชาวบ้านไม่ได้นำมาฝาก และโจรก็ไม่ได้ทำอันตรายท่าน
- รูปที่ ๒ พระอธิการแดง 
- รูปที่ ๓ พระอธิการพร้อม (เป็นเจ้าคณะตำบลบางบ่อ) 
- รูปที่ ๔ พระครูพินิจสมณคุณ (หลวงปู่ไผ่) 
- รูปที่ ๕ พระปลัดทรง สงฺฆวโร 
- รูปที่ ๖ พระครูสังฆรักษ์ (หม่อง) 
- รูปปัจจุบันพระครูวิจารณ์ธรรมคุณ (หลวงปู่ชาญ) 

 




พระครูวิจารณ์ธรรมคุณ หรือหลวงปู่ชาญ อิณมุตฺโต ชาวบ้านมักเรียกขานท่านว่า “หลวงปู่ใหม่” ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ และยังเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอบางบ่อ ท่านเป็นพระเถราจารย์ ที่มีอายุยืนยาวถึง ๑๐๔ ปี ๘๔ พรรษา หลวงปู่เป็นพระเกจิอาจารย์ ซึ่งมีชื่อเสียง “ที่สุด” ของจังหวัดสมุทรปราการ 
.
นามเดิมของหลวงปู่ชาญ ชื่อชาญ รอดทอง ท่านเกิดวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ณ ตำบลเกาะไร่ อำเภอบางโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา การศึกษา เรียนจบชั้น ป.๕ จากโรงเรียนอภัยพิทยาคาร (วัดแก้วพิจิตร) จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากจบชั้น ป.๕ แล้ว ท่านได้ออกมาช่วยบิดามารดาทำนา จนกระทั่งอายุ ๒๕ ปี จึงได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดคลองสวน ตำบลเกาะไร่ อำเภอบ้านโพธิ์ จากนั้นได้ไปจำพรรษา ณ วัดนิยมยาตรา อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 

เหรียญรุ่นแรก ออกในนามวัดบางบ่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เรียกกันว่า “เหรียญล้อแม็ก” สร้างออกมาด้วยกัน ๒ เนื้อ คือ เนื้ออัลปาก้าและเนื้อทองแดง เป็นที่กล่าวขานกันว่าเหรียญรุ่นนี้เหนียวสุดๆ และมหาอุดจริงๆ และยังมีเหรียญยอดนิยมอีกรุ่น คือ เหรียญปี ๒๕๑๘ (รุ่น ๒) สร้างออกมา ๓ พิมพ์ คือ ๑.เหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ (นิยม) ๒.เหรียญรูปไข่เต็มองค์ ๓.เหรียญหันข้างหรือเหรียญอาร์มครึ่งองค์ ส่วนเหรียญรุ่น ๓ เรียกขานกันว่า “เหรียญสองผู้ยิ่งใหญ่” รุ่นกรรมการ สร้างปี ๒๕๑๙ ด้านหน้าหลวงปู่ชาญ ด้านหลังหลวงพ่อหม่อง (พระอาจารย์ของหลวงปู่)

.


สุดท้ายนี่ก็ยังคง อยู่ที่ จังหวัดสมุทราปราการ  ต้องมาเห็นด้วยตาตนเอง ประวัติความเป็นมาที่น่าขนลุก และมีอยู่จริง  
ขอบคุณทุกท่านที่เขามาดูกันนะค่ะ  
และเราจะภาไปดูวัดอะไรนั้นต้องรอติดตามได้เลยจ้า


วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ตะลุยเดี่ยวเที่ยวไหว้พระกันที่ วัด (หลวงพ่อโต)บางพลี

สวัสดีค่าา.  เราก็ได้มากันถึงวัดที่10. แล้วนะค่ะ. เร้วใช่ไหมละ5555
              กับวัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง (หลวงพ่อโต) ของชาวบางพลี

 


    วัดบางพลีใหญ่ใน หรือที่คนมักจะเรียกว่า วัดหลวงพ่อโต เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ชาวบางพลีและชาวสมุทรปราการให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก แวะกราบสักการะหลวงพ่อโตเพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วเดินเที่ยวชมตลาดโบราณบางพลี ได้เห็นวิถีชุมชนเก่า ซื้ออาหารการกิน ของฝาก เดินเล่นพักผ่อนให้อาหารปลาที่ท่าน้ำ
วัดบางพลีใหญ่ใน ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี การเดินทางมาวัดสามารถมาได้จากถนนเทพารักษ์ และถนนบางนา-ตราด ที่ตั้งของวัดจะอยู่ใกล้กับบิ๊กซีบางพลี
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กล่าวไว้ว่า วัดบางพลีใหญ่ใน เป็นวัดที่เก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งที่พระองค์ทรงนำกองทัพขับไล่ศัตรูที่ถอยทัพไปทางทิศตะวันออกของกรุงศรีอยุยธา เมื่อติดตามจนมาถึงตำบลหนึ่ง จึงรับสั่งให้เหล่าทหารหยุดพัก เพื่อทำพิธีพลีกรรม บวงสรวงเซ่นไหว้ตามตำรับพิชัยสงคราม โดยปลูกศาลเพียงตาไว้พร้อมเครื่องสังเวย อัญเชิญพระแสงดาบ ศาสตราวุธต่างๆ มาประกอบพิธี ตั้งจิตอธิษฐานต่อเทวาอารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้การรบได้รับชัยชนะกลับมา จากนั้นพระองค์และเหล่าทหารกล้า ก็เดินทัพต่อไปจนสามารถนำชัยชนะกลับมาได้ หลังจากนั้นเมื่อย้อนทางกลับมา ณ ที่ศาลเพียงตา พระองค์ทรงรับสั่งให้สร้างเป็นพลับพลาไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในชัยชนะ และทรงพระราชทานนามที่แห่งนี้ว่า "พลับพลาชัยชนะสงคราม"
ต่อมาในปี พ.ศ.2320 ช่วงก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นในบริเวณพลับพลา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และตั้งชื่อวัดว่า "วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม" ส่วนตำบลที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงหยุดประทับ เพื่อทำพิธีพลีกรรม ได้มีชื่อว่า บางพลี ชาวบ้านจึงมักจะเรียกวัดในอีกชื่อหนึ่งว่า วัดบางพลี ต่อมาเมื่อมีวัดบางพลีใหญ่กลางตั้งอยู่ด้านนอก (ห่างจากคลองออกไป) จึงเรียกวัดบางพลี ที่ติดกับคลองสำโรงว่า "วัดบางพลีใหญ่ใน
องค์ที่ 1 หลวงพ่อบ้านแหลม พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร อัญเชิญขึ้นเป็นองค์แรก ที่แม่น้ำแม่กลอง นำไปประดิษฐาน ณ วัดบ้านแหลม (วัดเพชรสมุทรวรวิหาร) จังหวัดสมุทรสงคราม
องค์ที่ 2 หลวงพ่อโสธร พระพุทธรูปปางสมาธิ อัญเชิญขึ้นมาเป็นองค์ที่สอง ที่แม่น้ำบางปะกง นำไปประดิษฐาน ณ วัดโสธรวรารามวรว­ิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา
องค์ที่ 3 หลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางมารวิชัย อัญเชิญขึ้นเป็นองค์สุดท้อง ที่คลองสำโรง นำประดิษฐาน ณ วัดบางพลีใหญ่ใน (วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม) จังหวัดสมุทรปราการ
** ตำนานพระพุทธรูป 3 พี่น้อง บางตำนานจะเรียกว่าเป็นหลวงพ่อ 5 พี่น้อง โดยรวมหลวงพ่อวัดไร่ขิง ที่อัญเชิญขึ้นจากแม่น้ำนครชัยศรี ประดิษฐานไว้ ณ วัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม และหลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา อัญเชิญขึ้นจากแม่น้ำเพชรบุรี นำประดิษฐานไว้ ณ วัดเขาตะเครา
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปองค์สุดท้องที่ได้รับการอัญเชิญขึ้นจากน้ำ หลังจากพระพุทธรูป 2 องค์ คือหลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อโสธรได้ถูกอัญเชิญขึ้นจากน้ำแล้ว หลวงพ่อโตกลับจมลง แล้วไหลลอยเกือบจะออกจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปสู่ทะเลอ่าวไทย แต่แล้วก็วกเข้าคลองสำโรง ชาวบ้านมาพบจึงพากันอาราธนาขึ้นฝั่งตั้งแต่ปากคลองสำโรง แต่ก็ไม่สามารถอัญเชิญขึ้นมาได้ จนชาวบ้านคนหนึ่งเกิดความคิดขึ้นมาว่า ควรทำการเสี่ยงทาย ให้หลวงพ่อท่่านได้เลือกสถานที่ที่ต้องการ จึงต่อแพผูกชะลอองค์พระ แล้วใช้เรือพายฉุดให้ลอยตามลำน้ำสำโรงเรื่อยไป โดยตั้งจิตอธิษฐานต่อองค์พระว่า หากท่านต้องการจะให้อัญเชิญขึ้น ณ ที่แห่งใด ก็ขอให้หยุดตรงจุดนั้น ชาวบ้านต่างเห็นด้วยกับการเสี่ยงทายนึ้ และพากันพายเรือตามแพองค์พระไปตามคลองสำโรง พร้อมกับมีการรำถวาย การละเล่นต่างๆ ครื้นเครงกันตลอดลำน้ำ

ครั้นเมื่อเรือพายผูกแพองค์พระล่องมาถึงวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม ในอำเภอบางพลี แพหลวงพ่อโตก็หยุดนิ่ง แม้จะพยายามฉุดลากเท่าไหร่ก็ไม่ไป ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันตั้งจิตอธิษฐานว่า หากองค์หลวงพ่อโตจะคุ้มครองชาวบางพลี ก็ขอให้อาราธนาพระพุทธรูปขึ้นมาได้โดยง่าย จากนั้นจึงเกิดอัศจรรย์ อัญเชิญองค์พระขึ้นมาได้ จึงนำไปประดิษฐานไว้ในพระวิหาร และต่อมาได้อาราธนาไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ

หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปเนื้อสำริดลงรักปิดทอง เป็นพระศิลปะสมัยสุโขทัย พุทธลักษณะปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ เบิกพระเนตร มีขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ (ประมาณ 1.75 เมตร)
แผนผังของวัดบางพลีใหญ่ใน หันหน้าไปทางคลองสำโรง ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมหลักในอดีต ปัจจุบันได้มีถนนตัดผ่านหลายเส้นทาง รวมทั้งถนนที่ตัดผ่ากลางพื้นที่วัด (ซอยชุมชนหลวงพ่อโต) แบ่งออกเป็นโซนประกอบพิธีฌาปนกิจ ที่ไปอยู่ทางด้านหลังของวัด สำหรับผู้ที่มายังวัดบางพลีใหญ่ใน จะมีป้ายบอกทางไปยังอุโบสถไว้ในหลายๆ จุด สามารถเดินทางมาได้สะดวก มีจุดจอดรถหลายส่วน เช่น บริเวณใกล้พระเจดีย์ บริเวณฌาปนสถานด้านหลังวัด และโซนจอดรถกลางแจ้ง กว้างขวาง ที่เพิ่มเติมขึ้นมากรณีมีงานในช่วงเทศกาล งานประเพณีรับบัว


วิหาร
วิหารตั้งอยู่บริเวณด้านข้างอุโบสถ เป็นวิหารเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในลักษณะอาคารแบบเดิมๆ ผนังตรงกลางด้านหน้าวิหาร เจาะเป็นซุ้มจระนำ** รูปทรงเรียบๆ ในซุ้มประดิษฐานพระสังกัจจายน์องค์ใหญ่ ภายในวิหารมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก  ผนังปูนทาสีเรียบ ไม่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง หน้าต่างทาสีแดงพื้น ไม่ได้ลงลวดลาย ส่วนของโครงหลังคาเป็นเครื่องไม้ เสาภายในยังคงสภาพเสาไม้แปดเหลี่ยม สูงจากพื้นขึ้นไปจรดโครงหลังคา เสาแต่ละต้นมีผ้าหลากสีพันไว้ ตามความเชื่อที่ว่าเป็นการเคารพต่อเทวดา เทพารักษ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ วิหารแห่งนี้เป็นที่เก็บพระพุทธรูปหลายแบบ หลายขนาด ทั้งพระพุทธรูปเก่าและใหม่ จึงเห็นพระพุทธรูปมากมายจัดเรียงไว้รอบโถงภายในวิหาร จุดนี้ เป็นบริเวณที่คนมักจะเข้ามาตั้งจิตอธิษฐาน และยกช้างเสี่ยงทายในสิ่งที่ปรารถนา


หมอชีวกโกมารภัจจ์
รูปปั้นหมอชีวกโกมารภัจจ์ (อ่านว่า ชี-วะ-กะ-โก-มา-ระ-พัด) บรมครูแห่งการแพทย์แผนไทย ผู้บำเพ็ญความดี ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นหมอหลวง และแพทย์ประจำตัวของพระพุทธเจ้า เป็นดั่งที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา ผู้ที่ต้องการขอพรเรื่องสุขภาพร่างกาย ต้องการหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จึงมักจะมากราบสักการะต่อท่าน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใต้ต้นโพธิ์
ภายในบริเวณวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น พระพุทธบาทจำลอง พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ พระพรหม พระราหู พระสีวลี เจ้าแม่ตะเคียน ตลาดน้ำโบราณบางพลี เป็นต้น

การเดินทาง
ห่างจากวัดบางพลีใหญ่กลาง (วัดพระนอน)   1 กิโลเมตร
ห่างจากสถานตากอากาศบางปู   17 กิโลเมตร
ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ   18 กิโลเมตร

และสุดท้ายก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามด้วยนะค่ะ 
กับวัดที่น่าสนใจ ที่สุด และยังมีอีกหลายวัดที่ ซินยังไม่เคยไป  อย่าลืมติดตามกันนะค่ะ
สำหรับวันนี้ต้องขอบคุณค่า 

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ตะลุยเดียว เที่ยวไหว้ พระกันที่วัดที่หลวงพ่อโตองค์ใหญ่


วัดพนัญเชิง เป็นวัดเก่าแก่และสำคัญวัดหนึ่งของอยุธยา มีชื่อเสียงระบือไปทั่วประเทศโดยเฉพาะหลวงพ่อโตหรือเจ้าพ่อซำปอกงที่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนต่างให้ความเคารพนับถือมาช้านาน เมื่อมายังวัดแห่งนี้จะไม่แปลกที่จะต้องพบเจอผู้คนจำนวนมากที่ไหลเวียนมานมัสการหลวงพ่อโตกันอย่างเนืองแน่น
 เชิญเข้าไปรับชนไหว้พระกันได้เลยจ้า



วัดพนัญเชิงเป็นวัดเก่า สร้างสมัยเมืองอโยธยาเป็นราชธานี ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช (พระเจ้าสายน้ำผึ้ง) ครองเมืองเสนาราชนครตั้งอยู่ปากน้ำแม่เบี้ยเป็นผู้สร้างวัดนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระนางสร้อยดอกหมาก พระเจ้าศรีธรรมโศกราช (สมเด็จพระเอกาทศรฐ) เป็นผู้สร้างพระเจ้าพะแนงเชิง คือ องค์พระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) สร้างก่อนกรุงศรีอยุธยา 26 ปี สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระเจ้าสายน้ำผึ้งผู้เป็นพระอัยยกา นามเดิมหลวงพ่อโตเรียกว่า พระเจ้าพะแนงเชิง ในรัชกาลที่ 4 คือ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามใหม่ว่า พระพุทธไตรรัตนนายก จึงได้นามมาตลอดปัจจุบันนี้ พระมหากษัตริย์ได้อุปถัมภ์ตลอดมาโดยสำคัญ วัดนี้เป็นพระอารามหลวงมาแต่สมัยโบราณ และปัจจุบันนี้ก็เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิกวรวิหาร วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ คือองค์พระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) และพระพุทธรูปทองสมัยสุโขทัยประดิษฐานในพระอุโบสถ 2 องค์ จึงเป็นที่เคารพสักการะทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ วัดพนัญเชิงเป็นวัดเก่ามานาน เสนาสนะสงฆ์และปูชนียสถานได้ชำรุดทรุดโทรมไปเป็นอันมาก ทางคณะสงฆ์และทางราชการได้ช่วยกับบูรณะปฏิสังขรณ์มาโดยลำดับตลอด ปัจจุบันนี้ก็ได้ดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่เสมอ
ภายในโบสถ์



จุดเด่นของวัด
-พระพุทธไตรรัตนนายก ( หลวงพ่อโต ) ในพระวิหาร
-รูปปั้นพระนางสร้อยดอกหมาก 
-เทศกาลเทกระจาด หรืองานงิ้วเดือน 9 จะมีงิ้วและมหรสพอื่นๆ เล่นประชันกันอย่างครึกโครม
จะมีผู้คนนับหมื่นหลั่งไหลกันมานมัสการนับเป็นงานทิ้งกระจาดที่ใหญ่ที่สุดใน
ประเทศไทยทีเดียว
-แพให้อาหารปลาริมน้ำแม่น้ำป่าสัก
แพให้อาหารปลาริมน้ำแม่น้ำป่าสัก






ร้านค้าและร้านจำหน่ายของที่ระลึก
     
บริเวณลาดจอดรถ

สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกับวัด อะไร ตามกันไปได้เลยจ้า

ขอบคุณค่า